เมื่อเริ่มโด่งดัง เจ็ตลีพบว่ากังฟูที่ทำให้แข็งแรงทำรายได้และชื่อเสียงมากมาย กลับเป็นการหลงในวังวนของความโลภ หารายได้ให้มากขึ้นๆ และผิดหวัง เครียด กับการต้องเป็นที่หนึ่งเหมือนเดิม ซึ่งจิตใจลึก ๆ รู้สึกว่าไม่ใช่ จนพบพุทธศาสนาที่ทำให้ใจพบว่า..
“ในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรยั่งยืน มีการเริ่มต้น ก็จะมีการดับสูญ เมื่อดับสูญแล้ว ก็จะมีการเกิดขึ้นใหม่ ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ คุณเกิดมา คุณก็ต้องตาย แล้วก็เกิดใหม่อีก และตายอีก เป็นวัฏจักรเรื่อยไป ทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ชาวพุทธเรียกว่า ความไม่จีรัง”
“ผมได้ค้นพบความสงบภายในจิตใจ และวิธีที่ทำให้รู้ก็คือ เมื่อความสงบภายในเกิดขึ้น คุณไม่มีความต้องการอยากมีอยากเป็นอีก มีแต่ความต้องการให้ คุณไม่รู้สึกยินดียินร้าย นั่นแหละคือ หนทางนำไปสู่ความสงบภายใน”
“การรู้ตื่นและเบิกบาน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำกัดเฉพาะชาวพุทธเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ ถ้าคุณรู้ว่า สิ่งใดที่ก่อให้เกิดทุกข์ และคุณรู้วิธีควบคุมมันได้ คุณก็สามารถจัดการทุกสิ่งในชีวิตในแง่บวก การมีศรัทธาในศาสนา เป็นสิ่งที่ช่วยคุณได้ในเรื่องนี้ แต่มิใช่เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะนำคุณไปสู่การรู้ตื่นและเบิกบาน”
“การมีสติปัญญาช่วยให้เขาหลุดพ้นจากวังวนของการมีชื่อเสียงเงินทอง พร้อมเผชิญกับความล้มเหลวในเรื่องงานและความไม่แน่นอนในชีวิต ได้อย่างมีความสุข”
“การปฎิบัติตามวิถีพุทธมิได้หมายความว่า เราต้องหลีกเลี่ยงการมีชื่อเสียงเงินทอง แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เราควรเรียนรู้ที่จะนำชื่อเสียงเงินทองมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ถูกควบคุมหรือได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้”
จนได้พบสัจธรรมของชีวิต เมื่อต้องมาเกือบเสียชีวิตของตนและครอบครัวที่รัก จากเหตุการณ์สึนามิ (ที่เมืองไทย) จนกลายเป็นจุดสร้างสิ่งดีๆ คืนกลับสังคม พร้อมกับเป้าหมายในชีวิตที่จะใช้ความมีชื่อเสียงของตนช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา และแบ่งปันความสุขจากการเกิดปัญญาเมื่อได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมและสิ่งที่เขาทำทุกวันนี้ คือ “ผมสวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน ภาวนาขอให้โลกเกิดสันติสุข และมนุษย์ทุกคนเกิดพลังที่ดีงาม” คลิกอ่านเรื่องราวฉบับเต็มได้ที่
แรงบันดาลใจสู่ธรรมะ ของ ‘เจ็ต ลี’ ฮีโร่ตัวจริง